Last updated: 29 ก.ย. 2564 | 2281 จำนวนผู้เข้าชม |
ในปัจจุบันหลายๆท่านคงได้ยินคนพูดถึงวัสดุ “พื้นลามิเนต (Laminate Flooring)” กันอย่างคุ้นหูคุ้นตา เนื่องจากในช่วง 10-20 ปีมานี้พื้นลามิเนต ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สำหรับการนำมาใช้เป็นวัสดุพื้นสำหรับ คอนโดมิเนียม, อพาร์ทเม้นต์, หมู่บ้าน, และบ้านพักอาศัยส่วนบุคคลทั่วไป แม้ว่าจะได้ยินบ้ายมากขนาดไหนหลายๆท่านก็อาจจะยังคงไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าจริงๆแล้วมันคือวัสดุที่ทำมาจากอะไรกันแน่, คุณสมบัติเป็นอย่างไร, และมีความเหมาะสมในการใช้งานอย่างไร บทความนี้จะนำเรื่องราวเหล่านี้มาอธิบายโดยละเอียด
วัสดุพื้นลามิเนตถูกคิดค้นและผลิตขึ้นมายาวนานกว่า 50 ปีแล้ว โดยบริษัทหนึ่งแถบทวีปยุโรป โดยนำแนวคิดของการนำวัสดุเหลือใช้จากงานไม้มาต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด โดยการนำวัสดุเหลือใช้เหล่านี้ไปผ่านกระบวนการ อัดความดัน, ความร้อน, และใช้สารเคมีสำหรับยึดเกาะวัสดุ จนทำให้วัสดุเหล่านี้สามารถนำมาใช้งานปูพื้นได้
ในปัจจุบันวัสดุลามิเนตมักจะถูกเรียกว่า พื้นไม้ลามิเนต หรือ พื้นลามิเนต โดยได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทำให้มีโรงงานผลิตอยู่ทั่วโลก และแต่ละโรงงานก็จะมีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน โดยจะทำให้พื้นไม้ลามิเนตส่วนใหญ่จะมีชั้นของวัสดุยู่ที่ 3-4 ชั้น
พื้นลามิเนตที่มีชั้นมากกว่าไม่ได้หมายความว่าเป็นพื้นที่ดีกว่าแต่อย่างใด เนื่องจากบางโรงงานมีการรวบชั้น 3 และชั้น 4 เข้าเป็นชั้นเดียวกัน ทั้งนี้ถ้าจะเปรียบเทียบคุณภาพอาจจะต้องมาดูที่วัสดุที่ใช้ผลิตมากกว่า
ทั้งนี้จะขออธิบาย พื้นไม้ลามิเนตที่มี 4 ชั้นเพื่อให้เห็นภาพโดยชัดเจน
ชั้นที่ 1 (Wear Layer) : เป็นการลงวัดุคลือบบนวัสดุพื้นไม้ลามิเนต ซึ่งโดยส่วนมากจะใช้วัสดุเคลือบประเภท เมลามีน วัสดุเคลือบจะมีลักษณะโปร่งใส่ ไม่มีสีหรือมีสีอ่อนๆ โดยคุณสมบัติของชั้นที่1 นี้คือจะช่วยป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี อาทิเช่น รอยขีดข่วนจาก เฟอร์นิเจอร์, สัตว์เลี้ยง, รองเท้าส้นสูง, หรือรอยอื่นๆที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อใช้งานทั่วไป
ชั้นที่ 2 (Image Layer) : เป็นชั้นที่ใช้ใส่วัสดุพิมพ์ลาย/สีที่ต้องการ ส่วนนี้จะเป็นส่วนสำหรับใส่ภาพพิมพ์ลายไม้หรือลายหิน เพื่อแสดงภาพลักษณ์ของวัสดุแต่ละชนิดที่เหมือนจริงมาก
ชั้นที่ 3 (Core Layer) : เป็นชั้นของวัสดุแกน ส่วนมากจะใช้เป็นไม้อัดหรือ บางแหล่งก็จะนำผงไม้มาผ่านความดันสูงอัดแน่น เพื่อเป็นั้นแกนก็ได้เช่นกัน โดยชั้นนี้ก็คือชั้นโครงสร้างของพื้นไม้ลามิเนตนั่นเอง ชั้นแกนจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและยึดติดชั้นอื่นๆเข้าด้วยกันอีกด้วย
ชั้นที่ 4 (Backing Layer) : เป็นชั้นที่ใส่วัสดุสำหรับกันความชื้นที่จะเข้ามาสัมผัสชั้นที่3 (Core Layer) เนื่องจาก พื้นไม้ลามิเนตจะเสื่อมสภาพ ได้โดยง่ายหากสัมผัสโดยตรงกับความชื้น เพราะฉะนั้นชั้นที่ 4 จะช่วยป้องกันหรือชะลอการสึกหรอ ให้พื้นไม้ลามิเนตมีอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุด
นอกจาก พื้นไม้ลามิเนตจะมีหลากหลายสีให้เลือกแล้ว ยังมีเกรดต่างๆให้เลือก เพื่อความเหมาะสมในแต่ละสภาพการใช้งานอีกด้วย ซึ่งการคัดกรองเกรดคุณภาพจะถูกแบ่งด้วย Abrasion Criteria Rating (AC Rating) ซึ่งก็คือค่าความคงทนต่อการใช้งานโดยจะมีค่าอยู่ที่ 1 ถึง 5
AC 1 : เหมาะสำหรับใช้งานภายในบ้าน มีการสัมผัสค่อนข้างน้อย เช่นห้องนอน
AC 2 : เหมาะสำหรับใช้งานภายในบ้าน มีการสัมผัสปานกลาง เช่น ห้องต่างๆที่ใช้งานส่วนกลาง
AC 3 : เหมาะสำหรับใช้งานภายในบ้าน มีการสัมผัสสูง เช่น ห้องครัว
AC 4 : เหมาะสำหรับใช้งานเชิงพาณิชย์ มีการสัมผัสปานกลาง เช่น ร้านค้าทั่วไป
AC 5 : เหมาะสำหรับใช้งานเชิงพาณิชย์ มีการสัมผัสสูง เช่น ห้าง/ร้านค้าชั้นนำ
พื้นไม้ลามิเนตยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องด้วยจุดขายที่มีลักษณะ เหมือนไม้จริง, มีความทนทาน(หากหน้างานไม่มีความชื้น), และมีราคาที่ถูกกว่าไม้จริง, ไม้เอ็นจิเนียร์ ส่วนเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆที่จะเข้ามาทดแทน พื้นไม้ลามิเนต แบบ 100% ก็ยังคงไม่มีอะไรเด่นอย่างชัดเจน จะมีก็แต่ กระเบื้องยางที่เริ่มมีการใช้งาน คล้ายๆกับพื้นลามิเนตบ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถล้ม แชมป์อย่าง ลามิเนตลงไปได้
มาถึงตรงนี้ลูกค้าอาจจะต้องลองทำข้อมูลที่เรานำเสนอไปพิจารณาเบื้องต้นดูก่อน หรือหากมีคำถามข้อสงสัย และต้องการคำแนะนำสามารถปรึกษาทีมงานเราได้โดยตรง
Line OA : @moda-modern
หรือโทร : 086-469-4797
17 มิ.ย. 2565
27 พ.ย. 2566